31 กรกฎาคม 2025

ประชาสังคมลำพูนพลิกโฉม One Plan ดึง “เสียงเปราะบาง” สู่แผนพัฒนาจังหวัด “ฉบับคนลำพูน”

สถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาสังคมจังหวัดลำพูน จัดเวทีปรึกษาหารือ ผนึกกำลังหนุนเสริมบทบาทภาคประชาสังคมในการดูแลสุขภาวะประชากรกลุ่มเปราะบางที่รัฐเข้าไม่ถึง ผ่านกลไกแผนพัฒนาจังหวัด (One Plan) เพื่อชี้โอกาสในการผลักดันงบประมาณและข้อมูลจริงจากพื้นที่ สู่การพัฒนาที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนลำพูนอย่างแท้จริง

เปิดมิติใหม่การพัฒนาลำพูนเจาะลึก“One Plan” โอกาสและความท้าทายที่ภาคประชาสังคมต้องก้าวข้าม

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องประชุมจามเทวี ชั้น 4 ศูนย์ราชการจังหวัดลำพูน ได้เกิดการรวมตัวครั้งสำคัญของพลังขับเคลื่อนจากภาคประชาสังคมและภาครัฐ โดยสถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) ร่วมกับ ภาคประชาสังคมจังหวัดลำพูน จัดเวทีปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง “การหนุนเสริมบทบาทภาคประชาสังคมในจังหวัดลำพูน ต่อการมีส่วนร่วมดูแลสุขภาวะประชากรกลุ่มเปราะบางที่รัฐมีข้อจำกัดในการดูแล ผ่านกลไกแผนพัฒนาจังหวัด (One Plan)” ภายใต้การสนับสนุนอันเข้มแข็งจากสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

เวทีนี้ได้รวบรวมผู้เข้าร่วมมากถึง 42 คน จาก 25 องค์กรภาคประชาสังคมอันหลากหลาย ซึ่งประกอบด้วยองค์กรที่มีบทบาทหลากหลายด้าน เช่น การคุ้มครองสิทธิ, กลุ่มเปราะบาง, สิ่งแวดล้อม, วิชาการ, เยาวชน และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อจุดประกายแนวคิดและหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่หยั่งรากลึกในจังหวัด

ในช่วงเช้า ได้มุ่งเน้นไปที่การหารือภารกิจการขับเคลื่อนงานในจังหวัดลำพูน ผ่านกลไกแผนพัฒนาจังหวัด (One Plan) โดยนายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ กรรมการกำกับทิศทางงานบูรณาการเครือข่ายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ สสส. สำนัก 9 ได้เป็นผู้นำกระบวนการ

ผู้เข้าร่วมได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงความสำคัญและข้อจำกัดของแผนพัฒนาจังหวัด (One Plan) ซึ่งเป็นกลไกทางกฎหมายที่สำคัญภายใต้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ.2565 แต่ยังคงเผชิญกับประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจและปรับปรุงให้ดีขึ้น

1) การมีส่วนร่วมที่ยังไม่ทั่วถึง : แม้กฎหมายจะเปิดโอกาส แต่ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่ทราบหรือไม่สามารถเข้าถึงการมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดทำแผนได้อย่างแท้จริง

2) ข้อจำกัดด้านงบประมาณ : ปัจจุบันแผนพัฒนาจังหวัดยังคงจำกัดให้เฉพาะหน่วยงานของรัฐเท่านั้นที่สามารถรับงบประมาณและดำเนินการได้ แม้มีความคืบหน้าในการหารือเพื่อให้หน่วยงานอื่น ๆ เช่น พอช. หรือภาคประชาสังคมบางส่วน สามารถรับงบประมาณได้ในอนาคต

3) สัดส่วนงบประมาณที่คลาดเคลื่อน : งบประมาณประมาณร้อยละ 70 ของงบประมาณจังหวัด (เช่น 300 ล้านบาท) มักเป็นงบลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนที่เหลือประมาณร้อยละ 30 (ประมาณ 90 ล้านบาท) เป็นงบที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิต ซึ่งปัจจุบันงบประมาณด้านคุณภาพชีวิตยังถูกใช้ไปน้อยกว่าที่ควรจะเป็น หากภาคประชาสังคมสามารถรวมตัวและนำเสนอข้อมูลได้อย่างแหลมคม ก็มีโอกาสที่จะผลักดันให้งบส่วนนี้ถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาของประชาชนได้มากขึ้น

4) โครงการภาคประชาสังคมถูกมองข้าม : ที่ผ่านมาพบว่าโครงการที่ภาคประชาสังคมเสนอไปมักไม่ได้รับการตอบรับ เนื่องจากหน่วยงานราชการเน้นการเบิกจ่ายตามระเบียบและขั้นตอนที่กำหนดไว้ ทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการตอบสนองปัญหาเร่งด่วน

5) ตัวแทนภาคประชาสังคมใน ก.บ.จ. ยังไม่เพียงพอ : คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) ที่กฎหมายกำหนดให้มีตัวแทนภาคประชาสังคมได้ไม่น้อยกว่า 4 แต่ไม่เกิน 12 คน ปัจจุบันในลำพูนมีเพียง 6 คน ซึ่งยังเหลือโควตาว่างถึง 6 ที่ และตัวแทนที่มีอยู่ที่มาจากสภาองค์กรชุมชนเพียง 1 ที่ ที่เหลือเป็นภาคท่องเที่ยว เกษตร สิ่งแวดล้อม ก็อาจไม่ได้สะท้อนปัญหาประชากรกลุ่มเปราะบางได้อย่างครบถ้วน

6) ช่องว่างการสื่อสาร: การสื่อสารระหว่างหน่วยงานราชการในระดับอำเภอหรือจังหวัด กับภาคประชาชนยังไม่ทั่วถึง ทำให้ความต้องการที่แท้จริงของประชาชนไม่สามารถถูกบรรจุลงในแผนพัฒนาจังหวัดระดับต่าง ๆ ได้

7) ข้อมูลประชาชนถูกลดทอน : การประชุม ก.บ.จ. มักเชิญหัวหน้าส่วนราชการเป็นหลัก ทำให้ข้อมูลจากภาคประชาสังคมและกลุ่มเปราะบางไปไม่ถึง หรือไม่ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง เจ้าหน้าที่บางคนอาจมองว่าข้อมูลจากประชาชนเป็นเพียง “ข้อเรียกร้อง” ที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์

8) กลไกติดตามผลยังอ่อนแอ : แม้จะมีการเสนอประเด็นหรือข้อเรียกร้อง แต่กลไกการติดตามผลหรือการผลักดันให้งบประมาณถูกจัดสรรลงไปเพื่อแก้ไขปัญหาตามที่ภาคประชาสังคมต้องการยังไม่แข็งแรงพอ

9) ไม่รู้ “ชีพจร” การทำแผน : ภาคประชาสังคมยังไม่เข้าใจช่วงเวลาและขั้นตอนการทำแผนในระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด ทำให้ไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ตั้งแต่ต้นน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ นายนพพร นิลณรงค์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยหริภุญชัย ได้เล่าถึงพัฒนาการของภาคประชาสังคมในลำพูนและประเด็นปัญหาที่พบ โดยเชื่อมโยงให้เห็นว่า การประชุมครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เป็นผลต่อเนื่องจากการเคลื่อนไหวที่ยาวนานของภาคประชาสังคมลำพูน ซึ่งภาคประชาสังคมในลำพูนมีประวัติการทำงานมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นในปี 2520-2530 กลุ่ม NGOs เริ่มเข้ามาทำงานในลำพูน โดยเริ่มที่ทุ่งหัวช้าง เน้นการสร้างความเป็นธรรมและการมีส่วนร่วมของประชาชน

มาจนถึงการตื่นตัวจากผลกระทบของอุตสาหกรรมตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นไป การก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมทำให้เกิดการซื้อขายที่ดินและปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรง (กลิ่นเหม็น น้ำแม่กวงแห้ง) ซึ่งกระตุ้นให้ภาคประชาสังคมตื่นตัวและเคลื่อนไหวอย่างจริงจัง ยุควิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด วิกฤตเศรษฐกิจส่งผลให้ภาคประชาสังคมในลำพูนเติบโตและมีความหลากหลายมากขึ้น มีองค์กรใหม่ ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก ครอบคลุมประเด็นสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ที่อยู่อาศัย กลุ่มประชากรหลากหลาย (ผู้สูงอายุ ผู้หญิง เด็ก สหภาพแรงงาน แรงงานนอกระบบ) กลุ่มอาชีพต่างๆ

ความท้าทายใหม่หลังปี 2545 องค์กรหลายแห่งเริ่มจดทะเบียนเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ (ขึ้นกับ พมจ.) เพื่อรับทุนจากภาครัฐ อย่างไรก็ตามการรับทุนจากรัฐอาจนำไปสู่ข้อจำกัดในการแสดงออกและการมีส่วนร่วม เพราะรัฐมักจะกำหนดเป้าหมายและเลือกองค์กรที่ดำเนินตามตามแนวนโยบายรัฐเป็นหลัก

เสียงจากพื้นที่จริงปัญหาที่รัฐมองไม่เห็นหรือเลือกไม่เห็นความต้องการที่รอการตอบสนอง

เวทีในภาคเช้านี้ยังมีการแลกเปลี่ยนประเด็นปัญหาที่ภาคประชาสังคมแต่ละกลุ่ม แต่ละประเด็นงานเผชิญ และสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน

1) กลุ่มผู้พิการ: สิ่งอำนวยความสะดวกในหน่วยงานราชการยังไม่ได้มาตรฐานและไม่เอื้อต่อการใช้งานของคนพิการ แม้จะมี พ.ร.บ. สิ่งอำนวยความสะดวกที่กำหนดให้มี 5 ชนิดที่จำเป็น (ทางลาด, ห้องน้ำ, ที่จอดรถ, ป้ายสัญลักษณ์, เคาน์เตอร์บริการ) แต่การดำเนินการยังขาดมาตรฐานและการเข้าถึงงบประมาณ เช่น ทางลาดไม่ได้ระดับตามมาตรฐาน หรือห้องน้ำไม่ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด

2) กลุ่มชาติพันธุ์: ปัญหาการเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล (อ.แม่ทา, อ.ลี้) ซึ่งมีภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรับบริการสูงมาก, ปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและภัยพิบัติ, และความต้องการมีส่วนร่วมในกลไก ก.บ.จ. ในสัดส่วนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เหมาะสม

3) กลุ่มผู้สูงอายุ: สังคมเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย แต่การขับเคลื่อนงานยังต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก รัฐมักเน้นประเด็นผู้ป่วยติดเตียงมากกว่า ทำให้ผู้สูงอายุกลุ่มอื่น ๆ ยังมีข้อจำกัดในการได้รับการสนับสนุน , ปัญหาในการแสวงหาจิตอาสาที่จะช่วยเหลือผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้ที่เกษียณแล้วก็หาได้ยาก รวมถึงโครงการด้านผู้สูงอายุที่เสนอไปมักถูกเปลี่ยนรูปแบบ หรือมีสัดส่วนการใช้เงินที่ไม่เหมาะสม

4) กลุ่มแรงงานนอกระบบ/แรงงานอิสระ: ขาดหลักประกันสุขภาพ (ไม่ได้อยู่ในประกันสังคมมาตรา 33), ปัญหาโรคที่เกิดจากการทำงาน สภาพการทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ, ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องสุขภาพและการเข้าถึงการรักษา, ไม่มีการชดเชยที่เพียงพอเมื่อเจ็บป่วยหรือหยุดงาน

5) เด็กและเยาวชน: ประเด็นเด็กถูกละเมิด ความรุนแรง, เยาวชนคนรุ่นใหม่พบว่ายากที่จะเข้าถึงแหล่งทุนของจังหวัด ต้องขอทุนจากภายนอกแม้จะทำงานเรื่องการส่งเสริมสิทธิเด็กและเสียงของเยาวชน ,เมื่อเข้าร่วมโครงการได้ แต่รูปแบบการจัดการโครงการมักถูกกำหนดโดยราชการ ทำให้ไม่สามารถคิดประเด็นหรือดำเนินการตามที่ต้องการได้อย่างอิสระ , ต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนักการเมืองท้องถิ่นเพื่อผลักดันงาน , มองว่าการจัดตั้งและสร้างสำนึกให้เด็กรู้จักสังคมและอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ

6) ประเด็นสิ่งแวดล้อม: ปัญหานิคมอุตสาหกรรมปล่อยน้ำเสียลงลำน้ำกวง เคยมีการประท้วงถึงขั้นฟ้องร้อง ซึ่งสะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหาและความมุ่งมั่นของภาคประชาสังคมในการต่อสู้, ความพยายามเคลื่อนไหวเรื่องโรงไฟฟ้าขยะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคประชาสังคมไม่หยุดการเฝ้าระวังและต่อสู้, และการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน การปลูกผักปลอดสารพิษ ลดการใช้สารเคมีในเกษตรกรรม

7) เครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน: ทำงานส่งเสริมการผลิตพืชผักปลอดสารพิษ การลดใช้สารเคมีในเกษตรกรรม และส่งเสริมลำไยอินทรีย์ ซึ่งเชื่อมโยงกับประเด็นสุขภาพ (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) และความมั่นคงทางอาหาร แสดงให้เห็นถึงการทำงานแบบองค์รวมที่ไม่แยกปัญหาออกจากกัน 

8) NODE สสส.สำนัก 6: เป็นหน่วยงานที่มีประสบการณ์ในการทำงานกับชุมชนในลำพูนมากกว่า 5 ปี โดยกระจายทุนไปแล้วกว่า 150 ชุมชน ทำให้มีข้อมูลและเข้าใจปัญหาในพื้นที่เป็นอย่างดี แต่บทบาทส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้ให้ทุน ไม่ใช่ผู้เสนอประเด็น จึงจำเป็นต้องปรับบทบาทจากการเป็นผู้บริหารจัดการโครงการ มาเป็นภาคีประชาสังคมที่ร่วมขับเคลื่อนปัญหาผนึกกำลังภาครัฐ สู่แนวทางและโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนลำพูน

ในช่วงบ่าย ภาคประชาสังคมได้เข้าพบ นายชาตรี ธินนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน พร้อมด้วยตัวแทนภาคส่วนราชการ เพื่อนำเสนอข้อคิดเห็นต่อการหนุนเสริมบทบาทภาคประชาสังคม ในการมีส่วนร่วมดูแลสุขภาวะประชากรกลุ่มเปราะบางในจังหวัด ผ่านกลไกแผนพัฒนาจังหวัด (One Plan)

นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ กรรมการกำกับทิศทางงานบูรณาการเครือข่ายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ สสส. สำนัก 9 ได้เริ่มต้นด้วยการนำเสนอเจตนารมณ์ในการสร้างความร่วมมือกับจังหวัด โดยต้องการใช้แผนพัฒนาจังหวัดเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมกับภาคประชาสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดร่วมกัน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่สนับสนุนการใช้กลไก One Plan

แม้จังหวัดลำพูนจะมีกลุ่มประชาสังคมที่เข้มแข็งหลายกลุ่ม แต่ยังคงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงกลไกการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด ดังนั้นจึงเสนอให้เกิดการทำงานร่วมกันในลักษณะพื้นที่นำร่อง เพื่อออกแบบกระบวนการความร่วมมือในการพัฒนาร่วมกับภาครัฐ

นายชาตรี ธินนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีที่จะทำงานร่วมกัน โดยระบุว่าจังหวัดลำพูนมีพื้นฐานความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคมอยู่แล้ว โดยเฉพาะในงานที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเปราะบาง และพร้อมที่จะเป็นพื้นที่นำร่องในการบูรณาการความร่วมมือตามที่เสนอ ซึ่งสอดคล้องกับการประชุมคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการจังหวัดลำพูน (ก.บ.จ.ลำพูน) ครั้งที่ 4/2568 ที่จัดขึ้นในวันเดียวกันนี้ ณ ห้องประชุมหริภุญชัย และการประชุมปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนพัฒนาจังหวัดลำพูนที่เคยจัดขึ้นก่อนหน้า

หลังจากนั้น ตัวแทนจากกลุ่มประชาสังคมต่าง ๆ ได้สะท้อนปัญหาและความต้องการอีกครั้ง และมีการเสนอแนวทางและโอกาสใหม่ ๆ เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในแผนพัฒนาจังหวัด ดังนี้

  • การเพิ่มสัดส่วนตัวแทนภาคประชาสังคมใน ก.บ.จ. มีการเสนอให้เติมเต็มโควตาที่ยังว่างอยู่ 6 ตำแหน่ง พร้อมกำหนดคุณสมบัติของตัวแทน ก.บ.จ. แต่ละด้าน (เช่น ผู้สูงอายุ, คนพิการ, กลุ่มชาติพันธุ์) เพื่อให้ครอบคลุมและรับฟังข้อมูลความต้องการได้อย่างหลากหลาย
  • สร้างกลไกคู่ขนาน/คณะทำงานสนับสนุนข้อมูล โดยเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตั้ง “คณะทำงานคู่ขนาน” ที่มีตัวแทนจากภาคประชาสังคมแต่ละประเด็นมารวมกลุ่มกัน ซึ่งกลไกนี้จะทำหน้าที่สนับสนุนข้อมูลที่ “แหลมคม” และมาจากพื้นที่จริงให้กับภาครัฐ เพื่อช่วยในการจัดทำแผนอย่างมีประสิทธิภาพ
  • เปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมเข้าร่วมเวทีประชาคม ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน/ตำบล เพื่อเสนอประเด็นปัญหาและความต้องการตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งภาคประชาสังคมไม่ได้ต้องการเพียงงบประมาณ แต่ต้องการเป็น “พลเมือง” เป็น “แรงของเมือง” ที่มีส่วนร่วมในการวางแผนและแก้ไขปัญหา
  • การสื่อสารเชิงรุกจากภาครัฐเพื่อสร้างความเข้าใจ และโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง รวมถึงใช้ประโยชน์จากความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นของคนหนุ่มสาวในท้องถิ่นที่เข้ามาทำงานราชการ
  • การต่อยอดความร่วมมือทางงบประมาณ โดยส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่าง สสส. สปสช. และงบประมาณจังหวัด โดยอาจเริ่มจากโครงการนำร่องที่ชุมชนบริหารเงินเอง และใช้ผลลัพธ์เป็นต้นแบบในการขอขยายผลในแผนของจังหวัด
  • ภาคประชาสังคมต้องสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและผู้บริหารระดับสูง ได้สัมผัสและเข้าใจบริบทของปัญหาในชีวิตจริง แทนที่จะพิจารณาจากข้อมูลบนกระดาษเพียงอย่างเดียว

ซึ่งนายรุ่งเพชร กันตะบุตร ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาจังหวัด สำนักงานจังหวัดลำพูน ได้ชี้แจงหลักเกณฑ์และกระบวนการที่เกี่ยวข้อง เพิ่มเติมว่า โดยโครงสร้าง ก.บ.จ. เป็นไปตามกรอบที่สภาพัฒน์ฯกำหนด ทั้งนี้บทบาท ก.บ.จ. ทำหน้าที่เป็น “คณะกรรมการให้ความเห็นชอบ” แผนงาน/โครงการ และกระบวนการเสนอโครงการต้องมาจากความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ก่อนจะถูกรวบรวมและนำเสนอต่อ ก.บ.จ. ทั้งนี้ยุทธศาสตร์จังหวัดลำพูนแบ่งเป็น 4 ด้านหลัก โดยประเด็นด้านสังคมและคุณภาพชีวิตถูกจัดอยู่ในยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง (ความมั่นคงในการดำรงชีพ)

จากนั้น ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาจนได้ข้อสรุปและข้อเสนอที่สำคัญ ดังนี้

1) จัดตั้งกลไกคู่ขนาน โดยเสนอให้มีการแต่งตั้ง “คณะทำงานสนับสนุนข้อมูล” หรือ “เวทีกลาง” เพื่อเป็นพื้นที่ให้ภาคประชาสังคมกลุ่มต่าง ๆ ได้ประชุมหารือ กลั่นกรองข้อมูล และสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายที่เฉียบคม ก่อนนำเสนอเข้าสู่กระบวนการวางแผนของจังหวัดอย่างเป็นระบบ แนวทางดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาการเสนอโครงการที่กระจัดกระจาย และทำให้ภาครัฐได้รับข้อมูลที่สะท้อนปัญหาและความต้องการที่แท้จริงจากพื้นที่

2) หน่วยงานภาครัฐเพิ่มการสื่อสารเชิงรุกเพื่อสร้างความเข้าใจ และเชิญเครือข่ายภาคประชาสังคมเข้ามาร่วมให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นตั้งแต่ในขั้นตอนการริเริ่มโครงการ ก่อนที่จะนำเข้าสู่แผนพัฒนาจังหวัดต่อไป

ทั้งนี้

  • รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน รับทราบประเด็นทั้งหมดและพร้อมให้การสนับสนุนการสร้างกลไก “คณะทำงานคู่ขนาน” เพื่อสร้างความร่วมมืออย่างเต็มที่
  • สำนักงาน พมจ. ลำพูน และสำนักงานจังหวัดลำพูน รับข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งเวทีหารือหรือการมีแพลตฟอร์มกลางสำหรับการสื่อสาร เพื่อให้ภาคประชาสังคมมีพื้นที่ในการเสนอข้อมูลปัญหาและความต้องการตั้งแต่เริ่มต้น และภาครัฐได้รับข้อมูลที่ชัดเจนและตรงจุดจากพื้นที่จริง
  • ที่ประชุมเห็นชอบร่วมกัน ถึงความจำเป็นในการมีพื้นที่กลาง (Platform) หรือกลไกกลางทางการ เพื่อให้เกิดการสื่อสารและความเข้าใจร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาจังหวัดลำพูนอย่างยั่งยืนและครอบคลุมทุกภาคส่วน

โดยที่ประชุมมอบหมายให้ น.ส.บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ นักวิชาการสถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม เป็นผู้รับผิดชอบสรุปประเด็นทั้งหมดเพื่อนำเสนอต่อรองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนเพื่อพิจารณา โดยสำนักงานจังหวัดและสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดลำพูนรับไปดำเนินการต่อ

การประชุมครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างความเข้าใจและหาแนวทางความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคมในจังหวัดลำพูน เพื่อให้แผนพัฒนาจังหวัดสามารถตอบสนองต่อปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มเปราะบางได้อย่างแท้จริง แม้จะยังมีอุปสรรค แต่ก็มีโอกาสที่สำคัญในการขับเคลื่อนร่วมกันเพื่อสร้างอนาคตที่สดใสและเท่าเทียมสำหรับทุกคนในลำพูนคือจุดตั้งต้นที่ไม่ได้หยุดแค่เวทีสนทนาเชิงนโยบาย แต่จะพาเสียงประชาชนกลุ่มหลากหลายขึ้นแผนที่การพัฒนาอย่างแท้จริง ให้ “เจตนารมณ์แผน One Plan” ของจังหวัดลำพูน สอดประสานจังหวะเดียวกับประชาชนคนพื้นที่

เนื้อหาอื่นๆ

21 กรกฎาคม 2020
29 เมษายน 2020
23 ธันวาคม 2018

Copyright © 2013 THETHAIACT