15 สิงหาคม 2022

รัฐสวัสดิการสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับแม่และเด็กที่ “จำเป็นต้องมี”

ถอดความจากกิจกรรมเสวนา #มนุษย์แม่กับรัฐสวัสดิการ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ โดยคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ร่วมกับสถาบันสังคมประชาธิปไตย (Soc-Dem TH) ได้จัดกิจกรรมสนทนาผ่าน Clubhouse ในหัวข้อ #มนุษย์แม่กับรัฐสวัสดิการ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ โดยมี คุณศีลดา รังสิกรรพุม คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้าสู่ความยั่งยืน , รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม (Choices Network) คุณสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นผู้ร่วมสนทนา

โดย รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม (Choices Network) เปิดประเด็นเรื่องความเป็นแม่ว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่มักถูกสังคมกำหนดบทบาทให้ต้องเป็น “เมีย” และเป็น “แม่” ซึ่งความเป็นแม่ที่แท้จริงเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมโดยวาทกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างเงื่อนไขให้ผู้หญิงรู้สึกว่าตนจะเป็นคนที่สมบูรณ์ได้คือต้องเป็นเมียและเป็นแม่คน

ในหลายสังคม ผู้หญิงต้องใช้ความเป็นเมียและความเป็นแม่เป็นโอกาสในการเลื่อนชั้นในสังคม โดยเฉพาะประเทศที่ผู้หญิงมีสถานภาพทางสังคมต่ำกว่าผู้ชายเช่นในจีน อินเดีย ขณะที่ผู้ชายในแทบทุกสังคมสามารถเลื่อนสถานะตนเองได้จากการงาน การเรียน การบวช

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความเป็นแม่ก็คือการเป็นมนุษย์ที่มีผิดมีถูกมีชั่วมีดีได้ การสร้างภาพให้แม่เป็นแบบเดียวจึงยังไม่ใช่ภาพที่แท้จริง ทำให้การวางนโยบายของรัฐละเลยเรื่องการดูแลสมาชิกใหม่ในสังคม นั่นคือการไม่มีรัฐสวัสดิการสำหรับการดูแลสมาชิกใหม่ของสังคม สังคมจึงโยนภาระนี้ให้กับคนเป็นแม่ โดยที่ไม่ได้มองถึงว่าความเป็นแม่นั้นมีความหลากหลายมาก ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นมนุษย์ที่ต้องมีความสมบูรณ์แบบ และไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องพร้อมที่จะเป็นแม่

ผู้หญิงทุกคนมีมดลูก แต่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะตั้งครรภ์ได้ในความเป็นจริงเชิงชีววิทยา มาถึงเรื่องการทำแท้ง สมัยก่อนสถานภาพผู้หญิงคือมีเพศสัมพันธ์กับใครก็ต้องเป็นเมียเขา แล้วก็ตั้งครรภ์ ทีนี้การที่ว่าเมื่อตั้งครรภ์แล้ว จำเป็นต้องเป็นเมีย จำเป็นต้องเป็นแม่ไหม?

นี่คือเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่ต้องให้ผู้หญิงมีเจตจำนงที่จะเลือกเอง ว่าเขาอยากท้องหรือไม่ท้อง หากเป็นการท้องที่เขาไม่พร้อม ไม่ต้องการ หรือท้องแล้วทำให้ผู้หญิงคนนั้นมีปัญหา เช่น ท้องแล้วสร้างปัญหาสุขภาพให้กับผู้หญิง หรือเราอาจรู้ได้โดยเทคโนโลยีการแพทย์ว่า การท้องนั้นตัวอ่อนในครรภ์จะมีภาวะความพิการอย่างรุนแรง เราจึงจำเป็นต้องมีสวัสดิการของรัฐเพื่อยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย
ด้านเครือข่าย Choices ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 ซึ่งเป็นกฎหมายอาญามาตราเดียวที่ใช้คำว่า “ผู้หญิง” แทนคำว่า “บุคคล” และระบุว่าการทำแท้งนั้นเป็นความผิดอาญานั้น เป็นกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 28 ศาลจึงได้เสนอให้แก้กฎหมาย จนกระทั่งได้มีการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรานี้แล้ว แต่มาตรา 301ที่ได้รับการแก้ไขก็ยังมีเงื่อนไข

“บทเรียนที่เราได้คือ ถ้าเราต้องการทำรัฐสวัสดิการใด ๆ เราต้องทำให้มันเกิดเป็นลายลักษณ์อักษร คือต้องมีกฎหมายรับรอง ซึ่งอย่างเรื่องทำแท้ง แม้วันนี้มีกฎหมายรองรับการทำแท้งภายในอายุครรภ์ 12 สัปดาห์แล้ว แต่โรงพยาบาลจำนวนมากยังไม่ยอมให้บริการ โดยเฉพาะโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร ทำให้ผู้ตั้งครรภ์ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายที่แพงในการไปรับบริการที่คลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชน และวันนี้เราจึงยังคงมีผู้หญิงที่เจ็บป่วย เสียชีวิตจากการเข้าไม่ถึงสิทธิการทำแท้งที่ปลอดภัยและถูกกฎหมาย”

ขณะที่ คุณศีลดา รังสิกรรพุม คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้าสู่ความยั่งยืน กล่าวในฐานะที่ทำงานกับคนเป็นแม่ที่อยู่ในสลัม (ผู้จัดการมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ) ว่า

“ได้เจอความหลากหลายของคนเป็นแม่ มีทั้งแม่ที่ดีและไม่ดี โดยส่วนใหญ่จากประสบการณ์ของตนก็พบว่า ไม่ว่าจะมีปัญหาใด ๆ ในครอบครัว คนที่ดูแลลูกส่วนใหญ่ก็จะเป็นแม่ มูลนิธิเด็กอ่อนฯจึงพยายามทำงานเพื่อให้คนเป็นพ่อมีบทบาทในการดูแลลูกมากขึ้น จากการทำงานกับแม่ที่ยากจน แม่ที่เป็นแรงงานต่างชาติ แม่ตั้งครรภ์ไม่พร้อม แม่วัยใส คนส่วนมากจะมองว่าแม่เหล่านี้ต้องได้รับความช่วยเหลือในด้านปัจจัยอื่น ๆ แต่ตนมองว่าเรื่องกำลังใจเป็นเรื่องสำคัญมาก หลายครั้งที่แม่มีปัญหา แล้วมีองค์กร หน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ รับฟังปัญหาของเขา ให้ข้อมูลด้านสิทธิ ความช่วยเหลือ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาได้เห็นว่า เขามีทางออกของปัญหาอย่างไรบ้าง

ในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 แม่ในสลัมได้รับความลำบากมาก จากการที่รัฐสั่งปิดสถานรับเลี้ยงเด็กทั้งประเทศโดยไม่มีมาตรการอื่นรองรับ เด็กที่อยู่บ้านในสลัม พื้นที่บ้านแออัด หรือที่บ้านไม่มีความพร้อมใด ๆ เลย โอกาสที่จะได้รับนม ได้รับอาหาร ได้รับการพัฒนาก็จะหายไปด้วย รัฐไม่ได้มองเห็นถึงปัญหาของแม่ที่ต้องออกไปทำงานด้วย เลี้ยงลูกไปด้วย การจะไปจ้างสถานรับเลี้ยงเด็กของเอกชนก็เป็นสิ่งที่แม่เหล่านี้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหวอีก

เรื่องเงินอุดหนุนบุตร 0-6 ปี เดือนละ 600บาท ก็เป็นสิ่งที่เราขับเคลื่อนกันมาถึง 7 ปีแล้ว ปัจจุบันยังให้โดยคัดกรองความยากจน ซึ่งขั้นตอนยุ่งยากมาก ทางมูลนิธิเด็กอ่อนฯก็ต้องช่วยแม่ในสลัมในการเตรียมเอกสาร ทั้งยังต้องเจอปัญหาเรื่องค่าเดินทางไปลงทะเบียน เอกสารไม่ครบ โดนตีกลับก็ต้องเดินทางมาใหม่ ทั้งยังต้องหาผู้รับรอง และการสื่อสารให้ประชาชนทราบก็ยังไม่ทั่วถึง จึงมีคนยากจนตกหล่นจากสิทธินี้เยอะมาก

ตนอยากให้ภาครัฐมองเห็นความสำคัญของการพัฒนา โดยเฉพาะช่วงอายุ 0-6 ปี ถ้าไม่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการ รวมถึงโภชนาการที่ดี โอกาสที่จะพัฒนาในการเจริญเติบโตต่อก็จะหายไป ซึ่งการที่สวัสดิการนี้ไม่ได้เป็นแบบ “ถ้วนหน้า” ก็ทำให้เกิดปัญหาได้

นอกจากนี้มูลนิธิเด็กอ่อนฯก็ได้พบว่า การที่สถานรับเลี้ยงเด็กรับเด็กดูแลตั้งแต่ช่วง 2 ขวบ ก็ทำให้เกิดช่องว่างที่ทำให้แม่ที่เป็นกลุ่มเปราะบางจำเป็นต้องส่งลูกไปอยู่กับญาติต่างจังหวัด เพราะแม่ก็ลาคลอดได้แค่ 3 เดือน นี่ก็เป็นสิ่งที่ทางมูลนิธิเด็กอ่อนฯพยายามผลักดันกับทางกรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่า ให้สถานรับเลี้ยงเด็กช่วยดูแลเด็กอ่อนก่อน 2 ขวบด้วย

ส่วนทางมูลนิธิเด็กอ่อนฯเองก็ได้ทำเรื่องการสนับสนุนให้เกิดบ้านเลี้ยงเด็กขึ้นในชุมชน โดยให้คนในชุมชนที่มีความพร้อมสามารถรับดูแลเด็กให้บ้านที่พ่อแม่ต้องออกไปทำงานได้ เลิกงานพ่อแม่ก็มารับเด็กกลับบ้าน บางครั้งพ่อแม่เด็กตกงาน คนที่ทำบ้านเด็กก็ช่วยรับดูแลเด็กให้โดยไม่เก็บเงินด้วย โดยมูลนิธิเด็กอ่อนฯให้การช่วยเหลือในการทำบ้านเลี้ยงเด็ก ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการดูแลเด็กที่ถูกต้อง การจัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้เหมาะกับการดูแลเด็กด้วย ส่วนนี้ก็ช่วยให้เด็กยังมีโอกาสได้อยู่กับพ่อแม่หลังเวลาเลิกงาน ทั้งเกิดระบบการช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยคนในชุมชนด้วยกันเองอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกสิ่งที่อยากให้รัฐให้ความสำคัญ


ในท้ายที่สุด คุณสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหาของบ้านเราคือสวัสดิการของรัฐเป็นลักษณะของการสงเคราะห์บนฐานคิดว่า ต้องให้แก่คนยากไร้ ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่มีเครื่องมืออะไรที่จะคัดกรองความยากจนได้อย่างแท้จริง และที่สำคัญอีกอย่างคือ คนที่มีอันจะกินในวันนี้ วันหน้าก็อาจประสบวิกฤต กลายเป็นคนยากไร้ได้เช่นกัน

เราเคยประสบความสำเร็จในการผลักดันให้มีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ขึ้นมาแทนระบบการสงเคราะห์คนไข้อนาถาที่ผู้รับบริการจะต้องทำตัวให้ดูอนาถา อันเป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเป็นหลักประกันสุขภาพแบบถ้วนหน้าแล้ว นอกจากทำให้ทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณสุขแล้ว สิ่งสำคัญคือเป็นการยืนยันศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมด้วย เพราะทุกคนได้รับในฐานที่ว่าเป็น “สิทธิมนุษยชน”
ในเรื่องของความเป็นแม่ เราก็ต้องยืนยันสิทธิว่า หากผู้หญิงไม่พร้อมที่จะตั้งครรภ์ ทำหน้าที่แม่ ก็ต้องเข้าถึงสิทธิยุติการตั้งครรภ์ ขณะเดียวกันคนที่ประสงค์จะเป็นแม่ ก็ต้องได้รับการดูแลจากรัฐเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานเช่นกัน

และด้วยว่าเรื่องของการจะสร้างรัฐสวัสดิการนั้น มันมีหลายมิติ มากกว่าเพียงเรื่องของรายได้ การให้เงินอุดหนุน ดังนั้นในอนาคต รัฐควรต้องปรับแนวคิดการทำงานจากการสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ให้เป็นสิทธิ โดยรัฐต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ให้บริการ มาเป็นผู้สนับสนุน วางระบบ ผ่องถ่ายงานที่ทางภาครัฐไม่ถนัด ยังทำได้ไม่ดี ไปให้องค์กรภาคประชาสังคมทำ โดยรัฐให้การสนับสนุนทั้งด้านทุนและปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ภาคประชาสังคมสามารถทำงานตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง

ในท้ายที่สุด คุณสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหาของบ้านเราคือสวัสดิการของรัฐเป็นลักษณะของการสงเคราะห์บนฐานคิดว่า ต้องให้แก่คนยากไร้ ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่มีเครื่องมืออะไรที่จะคัดกรองความยากจนได้อย่างแท้จริง และที่สำคัญอีกอย่างคือ คนที่มีอันจะกินในวันนี้ วันหน้าก็อาจประสบวิกฤต กลายเป็นคนยากไร้ได้เช่นกัน

เราเคยประสบความสำเร็จในการผลักดันให้มีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ขึ้นมาแทนระบบการสงเคราะห์คนไข้อนาถาที่ผู้รับบริการจะต้องทำตัวให้ดูอนาถา อันเป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเป็นหลักประกันสุขภาพแบบถ้วนหน้าแล้ว นอกจากทำให้ทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณสุขแล้ว สิ่งสำคัญคือเป็นการยืนยันศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมด้วย เพราะทุกคนได้รับในฐานที่ว่าเป็น “สิทธิมนุษยชน”


ในเรื่องของความเป็นแม่ เราก็ต้องยืนยันสิทธิว่า หากผู้หญิงไม่พร้อมที่จะตั้งครรภ์ ทำหน้าที่แม่ ก็ต้องเข้าถึงสิทธิยุติการตั้งครรภ์ ขณะเดียวกันคนที่ประสงค์จะเป็นแม่ ก็ต้องได้รับการดูแลจากรัฐเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานเช่นกัน

และด้วยว่าเรื่องของการจะสร้างรัฐสวัสดิการนั้น มันมีหลายมิติ มากกว่าเพียงเรื่องของรายได้ การให้เงินอุดหนุน ดังนั้นในอนาคต รัฐควรต้องปรับแนวคิดการทำงานจากการสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ให้เป็นสิทธิ โดยรัฐต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ให้บริการ มาเป็นผู้สนับสนุน วางระบบ ผ่องถ่ายงานที่ทางภาครัฐไม่ถนัด ยังทำได้ไม่ดี ไปให้องค์กรภาคประชาสังคมทำ โดยรัฐให้การสนับสนุนทั้งด้านทุนและปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ภาคประชาสังคมสามารถทำงานตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง Tdddddddd


เนื้อหาอื่นๆ

19 พฤศจิกายน 2018
18 กันยายน 2022
11 พฤศจิกายน 2018

Copyright © 2013 THETHAIACT